ยินดีต้อนรับสู่บล็อกของ เด็กหญิง กัญญารัตน์ คงอินทร์ เลขที่ 38 ม.2/2 โรงเรียน พิมานพิทยาสรรค์ ค่ะ
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558
การควบคุมโรค
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2557 นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าจากข้อมูลเฝ้าระวังโรคของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2557 - 9 มิ.ย.2557 พบผู้ป่วยอาหารเป็นพิษ 55,523 ราย จาก 77 จังหวัด คิดเป็นอัตราป่วย 87.40 ต่อแสนประชากร ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
กลุ่มอายุที่ป่วยมากที่สุด คือ คือ 45-54 ปี (ร้อยละ 11.94) รองลงมา 15-24 ปี และ อายุมากกว่า 65 ปี จังหวัดที่มีอัตราป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษสูงสุด 5 อันดับแรก คือ หนองบัวลำภู (255.33 ต่อแสนประชากร) รองลงมา คือ อุดรธานี นครพนม ปราจีนบุรี และอำนาจเจริญ ตามลำดับ
โรคอาหารเป็นพิษเป็นคำกว้าง ๆ ที่ใช้อธิบายถึงอาการป่วยที่เกิดจากการรับประทานอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อน ได้แก่ ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือ พยาธิ ปนเปื้อนสารพิษ สารเคมี หรือโลหะหนัก เป็นต้น ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การเก็บรักษา การประกอบอาหาร และการบริการอาหาร บางครั้งอาการอาหารเป็นพิษ อาจเกิดจากการบริโภคสิ่งที่เป็นพิษโดยตรง เช่น เมล็ดสบู่ดำ ลูกโพธิ์ ปลาปักเป้า คางคก เป็นต้น
การระบาดของโรคอาหารเป็นพิษ พบได้จากการที่คนจำนวนมากรับประทานอาหารปนเปื้อนร่วมกัน และมีอาการอย่างรวดเร็วหลังจากรับประทานอาหารแล้ว อาการของโรคอาหารเป็นพิษ ส่วนใหญ่ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำและปวดมวนท้องรุนแรงเฉียบพลัน บางครั้งมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็นไข้และปวดศีรษะ บางครั้งมีอาการคล้ายเป็นบิด ถ่ายอุจจาระปนเลือด หรือเป็นมูก ไข้สูง และมีจำนวนเม็ดเลือดขาวสูง เป็นโรคที่ไม่ค่อยรุนแรง มีระยะเวลาดำเนินโรค 1-7 วัน
การติดเชื้อในระบบอื่นของร่างกายและการตายพบได้ แต่พบน้อยมาก ระยะฟักตัว ปกติ 6-25 ชั่วโมง หรืออยู่ในช่วง 4-30 ชั่วโมง การติดต่ออาหารที่ต้องให้ระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะถ้าปรุงไว้นานหรือค้างมือ 10 เมนู ได้แก่
ลาบ และก้อยดิบ
ยำกุ้งเต้น
ยำหอยแครง
ข้าวผัดโรยเนื้อปู
อาหารผสมกะทิ หรือราดกะทิ เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง
ขนมจีน
ข้าวมันไก่
ส้มตำ
สลัดผัก
น้ำและน้ำแข็ง
อาหารเป็นพิษ
โรคอาหารเป็นพิษ มักป่วยไม่รุนแรงรักษาได้ตามอาการ เช่น อาการ ปวดท้อง และการทดแทนด้วยน้ำและเกลือแร่ ด้วยสารละลายเกลือแร่ และน้ำตาลทางปาก ไม่แนะนำการให้ยาปฏิชีวนะ การป้องกันโรคอาหารเป็นพิษทุกสาเหตุสำคัญที่สุด ด้วยมาตรการป้องกันโรคตามกฎหลัก 10 ประการดังนี้
1. เลือกอาหารที่ผ่านการเตรียมเป็นอย่างดี อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบควรรับประทานเฉพาะที่ปรุงสุกใหม่เท่านั้น หากมีปริมาณที่เหลือแล้วไม่ควรเก็บไว้ เพราะจะบูดเสียง่าย ผักสดต้องล้างให้สะอาด
2. ปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนทั่วถึง ในกลุ่มของอาหารทะเลต้องปรุงสุก หลีกเลี่ยงการปรุงโดยวิธีลวกหรือพล่าสุก ๆ ดิบ ๆ โดยเฉพาะกุ้ง หอย ปลาหมึก
3. ควรกินอาหารที่สุกใหม่ ๆ ควรรับประทานทันทีไม่เกิน 2-4 ชั่วโมงหลังจากปรุงเสร็จเส้นขนมจีนที่ทำจากแป้งหมักเสียง่ายไม่ควรทิ้งค้างคืน
4. ระมัดระวังอาหารที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการปนเปื้อน
5. อาหารที่ค้างมื้อต้องอุ่นให้ร้อนก่อน
6. แยกอาหารดิบและอาหารสุก ให้ระมัดระวังการปนเปื้อน ส่วนอาหารถุงและอาหารกล่อง ควรบรรจุแยกกันระหว่างข้าวและกับข้าว
7. ล้างมือก่อนจับต้องอาหารเข้าสู่ปาก
8. รักษาความสะอาดของห้องครัว อุปกรณ์ประกอบอาหารและรับประทานอาหาร
9. เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่น ๆ
10 .ใช้น้ำสะอาด น้ำดื่มและน้ำแข็งควรเลือกที่บรรจุภัณฑ์มีเครื่องหมาย อย.รับรอง ภาชนะปิดแน่นและไม่นำน้ำแข็งที่ใช้แช่ของมารับประทาน
สำหรับส้มตำที่นิยมรับประทานกันมาก ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะการปรุงจะใส่วัตถุดิบที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคทั้งปลาร้า ปูดอง ผักสด ทั้งมะละกอ มะเขือ หากล้างไม่สะอาดจะทำให้เสี่ยงต่ออาหารเป็นพิษและอุจจาระร่วงได้ง่าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
บทความใหม่กว่า
บทความที่เก่ากว่า
หน้าแรก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น